จาะลึกทุกเรื่องราว กว่าจะมาเป็นจิน
สำหรับใครที่ยังคิดว่า จิน (Gin) มีต้นกำเนิดมาจากประทศอังกฤษ ก็ไม่น่าจะแปลกใจสักเท่าไหร่ครับ เพราะถ้าได้รู้ความเป็นมาจริง ๆ แล้ว เราจะทราบทันทีว่า ทำไมหลายคนจึงเข้าใจผิดกันบ่อย ๆ
สำหรับใครที่ยังคิดว่า จิน (Gin) มีต้นกำเนิดมาจากประทศอังกฤษ ก็ไม่น่าจะแปลกใจสักเท่าไหร่ครับ เพราะถ้าได้รู้ความเป็นมาจริง ๆ แล้ว เราจะทราบทันทีว่า ทำไมหลายคนจึงเข้าใจผิดกันบ่อย ๆ และอีกหลากหลายเหตุการณ์ความวุ่นวาย กว่าจินจะเป็นจินได้จนถึงทุกวันนี้ ผ่านอะไรมาบ้าง ต้องตามมาดูกันเลยครับ
จากเจนีเวอร์ (GENEVER) กลายเป็นจิน (GIN)
เดิมนั้น จิน (Gin) ถือเป็นยาสมุนไพร โดยมีชื่อว่า เจนีเวอร์ (Genever) ถูกคิดค้นขึ้นในประเทศฮอลแลนด์ (Holland) ใน ปี 1650 โดย ดร.ฟรานซิสกัส เดอ ลา เบอร์ (Dr.Franciscus de La Boe) ที่พยายามคิดค้นยารักษาความบกพร่องของระบบไต ด้วยการผสมแอลกอฮอล์ เข้ากับธัญพืชพื้นเมืองต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ทั้ง ข้าวบาร์เลย์ ข้าวโพด และที่ขาดไม่ได้คือ จูนิเปอร์ เบอร์รี่ (Juniper Berries) นั่นเองครับ โดย ชื่อของ เจนีเวอร์ (Genever) มาจากภาษาดัตช์ หมายถึง จูนิเปอร์ เบอรรี่ (Juniper Berries) (ไม่เกี่ยวกับประเทศเจนีวาแต่อย่างใด)
โดย เจนีเวอร์ (Genever) นั้นได้ถูกนำไปใช้เป็น “ยา” ของทหารฮอลแลนด์ตอนออกรบ และเมื่อครั้งที่ทหารอังกฤษต่อสู้กับทหารสเปน เพื่อที่จะเข้าไปยึดครองประเทศฮอลแลนด์ ทหารอังกฤษก็ได้นำ เจนีเวอร์ (Genever) กลับประเทศ ก่อนที่จะไปดังที่ประเทศอังกฤษ และกลายเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย โดย ขณะนั้นก็เรียกได้ว่าฮิตติดปากระดับนึงถึงขนาด ตั้งชื่อเล่นให้ ว่า Dutch Courage (น้ำกล้าหาญของชาวดัตช์) ก่อนที่จะเพี้ยนไปเป็น จิน (Gin) จนหลายคนคิดว่าเป็น เหล้าที่เกิดจากประเทศอังกฤษไงละครับ (เพี้ยนมาจาก Genever กลายเป็น Ginever และย่อเหลือเพียง Gin ในที่สุด)
กว่าจะมาเป็น LONDON DRY GIN ที่รู้จักกัน
หลังจากที่ จิน (Gin) ได้เข้ามามีความนิยมอย่างมากในประเทศอังกฤษ จนเกิดเป็นยุค “Gin Craze” (ตามภาพด้านบน) ในช่วงศตวรรษที่ 18 ที่คนทั้งประเทศอังกฤษเมา จิน (Gin) กันทั้งเมืองแทบจะทุกตารางนิ้ว ส่งผลให้เกิดปัญหาสังคม จนรัฐบาลอังกฤษกังวลเป็นอย่างมาก ถึงขั้นออกกฎหมายมาควบคุมการผลิตและจำหน่าย แต่!! ไม่ได้ผล คนยังคงนิยมดื่มจิน (Gin) เพราะทั้งอร่อย มีราคาถูกกว่าวิสกี้และเบียร์หลายเท่าตัว โดยนิยมเป็นอย่างสูงในหมู่คนชนชั้นล่าง
และการเปลี่ยนแปลงของ จิน (Gin) ก็เป็นไปตามยุคสมัย เมื่อกฎหมายการห้ามจำหน่ายและห้ามผลิตเบาลง ทำให้ผู้คนไม่รู้สึกว่าต้องต่อต้านอีกต่อไป ความนิยมจึงลดตามลง แต่ก็ทำให้คุณภาพการผลิตดีขึ้นอย่างมาก มีการคิดค้นเครื่องกลั่นแบบต่าง ๆ ที่กลั่นได้ต่อเนื่องและได้สปิริตที่ ไร้รส ไร้กลิ่น และทำการผลิตได้มากขึ้น และรักษามาตราฐานได้ดีกว่าเดิมเพราะเหตุนี้ จิน (Gin) จึงไปเติบโต และไปได้รับความนิยมในหมู่คนชั้นสูงแทน และได้ตั้งชื่อใหม่ตามแบบการผลิต กลายเป็น Dry Gin กับ London Dry Gin ที่คุ้นหู คุ้นตากันนั่นเองครับ
นิยมขนาดที่ว่า ปัจจุบันในประเทศอังกฤษมีการตั้งสมาคมจินและวอดก้า (Gin and Vodka Association of Great Britain) ขึ้นมาเพื่อรักษามาตราฐานและโปรโมทจิน (Gin) ของประเทศอังกฤษโดยเฉพาะ ซึ่งทุกวันนี้ชาวอังกฤษ ดื่มจิน (Gin) ปีละกว่า 25 ล้านลิตร จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมหลายคนคิดว่าจิน (Gin) กำเนิดมาจากประเทศอังกฤษ (ก็เล่นใหญ่กว่าประเทศผู้ให้กำเนิดเสียอีก)
กฎหมายการผลิตจิน (GIN) ในปัจจุบัน
การที่จะเรียกว่า จิน (Gin) ได้ ในปัจจุบัน ก็ได้มีกฎหมายกำหนดไว้แล้วเช่นกัน (ตั้งแต่ยุคที่จินได้รับความนิยมในประะเทศอังกฤษ ก็ได้มีการกำหนดมาตราฐานการผลิตเอาไว้) โดยการผลิตจิน (Gin) เบื้องต้นต้องมีการกลั่นอย่างน้อย 3 ครั้ง (หรือมากกว่าก็ได้) และต้องมีส่วนประกอบหลักเป็น จูนิเปอร์เบอร์รี่ (Juniper Berries) มากกว่า 50% ของสมุนไพร (Botanical) ทั้งหมดครับ โดยปกติมักจะมีส่วนผสมเบื้องต้นตามนี้
เปลือกสัม (Orang Peel), ลูกอาหนี (Anise), ยี่หร่า (Caraway), หวายเทศ (Caramus), ออร์ริส (Orris), โกฎน้ำเต้า (Rhubarv), แอลมอนต์ (Almond) คาลัมบา (Calamba) และที่ขาดไม่ได้ คือ จูนีเปอร์ เบอรร์รี่ (Juniper Berries)
และในปัจจุบันก็ได้มีการเพิ่มรสชาติให้มีเอกลักษณ์มากกว่าเดิม ด้วยการเติมแต่งกลิ่นเข้าไป (เรียกว่า New Wave Gin) อย่างผู้ผลิตอย่าง Hendrick’s ก็ได้ใช้ กุหลาบและแตงกวา มาผลิตจิน (Gin) ซึ่งก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และยังได้รับความนิยมระดับโลกอีกด้วย
สนใจสั่งซื้อ จิน (Gin) ทุกชนิดหรือ New Wave Gin คลิ๊กที่นี่ได้เลยครับ